หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2567

ขับขึ้นเหนือควรมีติดรถไว้ OBD2

เมื่อสักครู่เขียนเรื่องเตรียมรถเดินทางไกล เลยนึกขึ้นได้ควรเขียนเรื่อง OBD2สักหน่อย 
สนใจเขียนคอมเม้นต์บ้างก็ดีนะครับถ้าแวะมาอ่าน เดี่ยวจะเขียนต่อครับ


เตรียมความพร้อมเดินทางไกลสำหรับswift

ผมแบ่งบอกเป็น 2 อย่าง คือ
1. การเตรียมรถเหมือนของทุก ๆ ของรอบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง คือ
- ถ้าไกล้จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องผมก็จะเปลี่ยนเลย
- แรงดันลมอย่างก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าบรรทุกของเยอะ
- น้ำมันเบรคไกล้รอบเปลี่ยนหรือยังถ้าเกินครึ่งทางก็จะเปลี่ยนเลย เพราะเราต้องใช้เบรคเยอะในเวลาลงเขา
- เปลี่ยนกรองอากาศ 
- ดูเรื่องผ้าเบรค และตั้งเบรคหลัง
- น้ำยาหม้อน้ำ
- ยางก็ดูตามปกติครับ
- น้ำมันเกียร์ก็เหมือนน้ำมันเครื่องเช่นกัน

2. เรื่องอะไหล่ที่ต้องระวังถ้ายังไม่เคยเปลี่ยน คือ วาล์วน้ำ, พัดลมหม้อน้ำ, ไดชาร์จ, มอเตอร์สตาร์ท, พัดลมแอร์(โบเวอร์) ถ้ายังไม่ได้เปลี่ยนขอให้อ่านโพสต์นี้ครับ
https://familyray2023.blogspot.com/2024/01/swift.html
ขอเริ่มจากที่มีผลน้อยสุดก่อนคือ พัดลมในห้องโดยสาร โบเวอร์แอร์ เพราะถ้ามันเสียเราก็ยังไปต่อได้แค่ปิดแอร์
ส่วนรองลงมาคือไดชาร์จ, มอเตอร์สตาร์ท เพราะ ทำให้รถไปต่อไม่ได้ไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหา แต่ผมไม่ได้กล่าวถึงความเสี่ยงอื่น ๆ อีกที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ส่วนที่เหลือ วาล์วน้ำ และ พัดลมหม้อน้ำ มันสำคัญเพราะจะทำให้เครื่องฮีตได้ครับ

วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2567

เล่าเรื่องการรักษากับแพทย์แผนไทย

 ขอย้อนอดีตไปหน่อย 

คือผมพอเริ่มทำงานไปเรียนไปก็เป็นภูมิแพ้ และเริ่มเป็นผิวหนังอักเสบหาสาเหตุไม่ได้ ก็หาหมอที่ รพ. ขอไม่บอกนะครับว่าชื่ออะไร หลายที่มาก ก็ได้แต่ยาสเตียรอยด์ ทาแล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามปกติของการใช้ยา สเตียรอยด์ แต่มันก็กลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ พออายุสัก 30-40 ก็ได้ทดสอบภูมิแพ้แบบเจาะเลือด และแบบสะกิดผิวหนังเพื่อหาสารกระตุ้น สรุปเจอเยอะเลย ไรฝุ่น แมลงสาบ ถั่วลิสง และอะไรอีกไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ซึ่งในระหว่างนั้น เคยรักษาแพทย์แผนไทยครับ

โอ้โห ศัพท์ที่เรียกกันคือมันกระทุ้งพิษ มันขึ้นเต็มตัวไปหมดเลย อดทนได้ระยะหนึ่งแล้วก็ไม่ไหวทรมานมากกกกก จนภรรยาสงสาร ก็เลยกลับมารักษาแบบแพทย์ปัจจุบันก็หนีไม่พ้น ยาสเตียรอยด์ เหมือนเดิมและก็ต้องทนเป็น ๆ หายไปอยู่ 

แล้วอยู่มาวันหนึ่งครับ ภรรยา ผมได้รู้จักกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งได้คุยกัน แล้วภรรยาก็เล่าเรื่องของผมให้ฟัง อาจารย์ท่านนั้นก็แนะนำให้ลองรักษากับแพทย์แผนไทยท่านหนึ่ง โดยบอกก้บภรรยาว่าไม่น่าจะรุ่นแรกกระทุ้งพิษออกมามาก ๆ เหมือนครั้งก่อนหรอก ภรรยาก็เลยบอกผม ผมก็ตกลงลองไปรักษากับคุณหมอท่านนั้น

วันนั้นที่ไปหาหมอประมาณเดือน ม.ค. - ก.พ. 66 ได้ คุณหมดตรวจอาการโดยเพียงดูที่ใบหน้า หัว และให้ถอดเสื้อ ดูด้านหน้าและด้านหลัง ดูที่หน้าแข้ง และก็บอกว่าป็นโรคไขกาฬ ในรายละเอียดเป็นศัพท์ทางแพทย์แผนไทย อ้างอิงถึง คำภีร์ตักศิลา อะไรประมาณนั้น แต่บอกถึงอาการที่เป็นอยู่ โดยผมยังไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร คุณหมอพูดยังไม่ได้จบ ผมกับภรรยามองตากัน เหมือนหมอรู้จักทุกอย่างที่เราป่วยมาเลย ตรงมากกกกกก และก็เล่าเรื่องโรคที่ผมเป็นอยู่มันเป็นเพราะอะไร (ตรงนี้ผมไว้จะพยายามนึกแล้วจะเขียนใน blog ให้อีกทีนะครับ) และจะรักษายังไง พอเล่าเสร็จก็จ่ายยาเป็นผงให้ชงดื่ม และก็จะมีตัวยาที่จะทำให้ถ่าย ด้วยในตัวยาผมขอยังไม่กล่าวถึงนะครับ แต่มีข้อห้ามเยอะมากกกกกกก ท่านอะไรลำบากมากที่กินไม่ได้ ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ใหญ่ ชา กาแฟ และอีกหลายอย่าง ผลจากการทานยาไปสักพักมันก็เริ่มมา เป็นผื่น เป็นตุ่ม เหมือนเดิมครับ ผ่านไปกี่เดือนผมจำไม่ได้และแต่ก็ลำบากอยู่ พอพบหมอคราวนี้เจอยาแรง คือต้องทานยาและต้องถ่ายทุกวันเป็นเวลา 22 วัน 7 วันแรกกินได้แต่ข้าวต้มและเกลือ ห้ามกินอย่างอื่นเลย ดื่มน้ำเกลือแร่ได้เพราะชดเชยที่ถ่ายออกไปอีก 15 วัน ดีหน่อยกินของต้ม ๆ ได้บ้างแต่เงื่อนไขก็เยอะอยู่  จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละครับ เดือนที่หนึ่งผ่านไปได้แต่ทรมานจริง ๆ มันเละไปทั้งตัว หน้ายังกับผีดิบเลยครับ ซอมบี้ ดีๆเลย เจ็บไปหมด พอไปพบหมอ โดนให้ท่านแบบเดิมอีกเดือนแทบตายยยยยยย 7วันแรกที่กินข้าวต้มไม่ไม่ลง แต่ปลาย ๆ เดือนอาการเริ่มดีขึ้นครับมันจะเหลือแค่ที่หัว ใบหน้าและศรีษะที่ยังออกอาการเละอยู่ หลังจากกลับมาทานยาปกติเหมือนช่วง ๆ แรก อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแต่ยังคงเหลือที่ส่วนบนหัวเหมือนเดิมจนเดือน ม.ค. 67 ผมติดสินใจกินยาที่ต้องกินข้าวต้มอย่างเดียว เพราะจะได้หายเร็ว ๆ ครับ 

ซึ่งจากที่รักษาตัวในแบบแผนแผนไทยกับหมดท่านนี้ผมไม่ได้ใช้ยาสเตียรอยด์เลย เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อครับ แต่ผมยังไม่หายขาดยังคงรักษาอยู่จนวันนี้

แก้ไขอาการเบรคแล้วหัวทิ่มหัว

 แก้ไขอาการเบรคแล้วหัวทิ่ม

อาการแบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่เกิดขึ้นถ้าเข้าศูนย์บริการตลอด(ในความคิดผมเองนะ) แต่ผมก็ไม่ได้เข้าศูนย์บริการของซูซูกิตลอด แต่จากการเข้ารับบริการที่ศูนย์.....ช่างเค้าก็ทำงานดีครับไม่น่าปล่อยผ่านไปได้ครับ
และอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นได้จากที่เราดูแลรถเอง หรือเข้าอู่นอกตามอาการครับ จากประสบการณ์ ผมคือเบรคหน้ามันจับได้ดีแต่หลังมันจับช้ากว่ามาก ดังนั้นวิธีการแก้ไขคือ ตั้งเบรคหลัง แต่โดยปกติถ้าเราใช้เบรคมือเป็นประจำมันจะมีระบบดึงให้เบรคหลังตั้งแบบ Auto อยู่แล้ว แต่บางครั้งมันก็ไม่ทำงานเนื่องจากดึงเบรคมือไม่สุด หรือไม่ถ้าเป็นอย่างอื่น อันนี้ผมก็ไม่ทราบและ แต่ถ้าเบรคหลังมันห่างเราจะตรวจสอบได้ยังไง....

วิธีการตรวจสอบระยะห่างเบรคหลัง (สำหรับผมที่ไม่ใช่ช่างนะครับ)
ยกล้อหลังให้ลอยแล้วดึงเบรคมือขึ้นมา 1 คลิ๊ก ดูว่าล้อยังหมุนโดยไม่โดนเบรค ก็เพิ่มเป็น 2 คลิ๊ก ทำเหมือนเดิมว่ามันโดนเบรคเปล่า ถ้ายังก็เพิ่มไปที่ละ 1 คลิ๊ก จนกว่าจะโดนเบรคเกิดเสียงดัง จากการลองตั้งเบรคหลังผมจำได้ว่ามันควรจะเกิน 3 คลิ๊กถึงจะต้องตั้งเบรคหลังครับ

วิธีการตั้งเบรคหลัง
1. ถอดล้อ/ถอดฝาครอบล้อออก
2. ใช้ไขควงปากแบนเขี่ยตัวตั้งเบรคที่ละ 1 คลิ๊ก
3. หลังจากเขี่ยตัวตั้งเบรคแล้วลองประกอบกลับดูแล้วหมุนล้อถ้าดึงเบรคมือ 2 คลิ๊กแล้วมีเสียงเบรคเล็กน้อย และถ้าปรับเบรคมือลงเหลือ 1 คลิ๊ก แล้วหมุนล้อไม่โดยผ้าเบรค เป็นพอแล้ว แต่ 2 คลิ๊กไม่โดนเลยจะดีที่สุดครับ

่จะเปลี่ยนยางจะเลือกยังไง?????

 การเลือกเปลี่ยนยางรถยนต์
 
         ผมตั้งหัวเรื่องแบบนี้เพราะผมก็คนหนึ่งที่จะเปลี่ยนยางแล้วไม่รู้จะเลือกยางยี้ห้อไหนยังไง คุณลักษณะแต่ละรุ่นมันก็แตกต่างกันจนผมสังเกตเห็นเวลาเราเปลี่ยนยางมันจะมีสติ๊กเกอร์บนยางใหม่ที่เราจะซื้อคุณเคยเห็นภาพนี้หรือเปล่า

ซึ่งผมสังเกตเห็นจึงหาข้อมูลว่ามันคืออะไร มันมีค่าตัวเลขบอกถึงประสิทธิภาพต่าง ๆ ของยาง หากมีหน่วยงานกลางเค้าก็ต้องมีการทดสอบมาแล้วจึงได้ค่าต่าง ๆ ดังนั้นเราสามารถนำค่าที่อยู่บนนั้นมาเปรียบเทียบกันได้ว่าเราควรเลือกยางยี่ห้อไหน รุ่นไหน แต่เราก็ต้องทำการบ้านเยอะพอสมควรนะครับ ผมไม่รู้ถ้าจะเอาง่ายถามร้านก็อาจจะได้แต่ถ้าเราหาข้อมูลเองแล้วค่อยถามก็จะดีกว่าฟังข้อมูลฝ่ายเดียว และสติ๊กเกอร์ที่ผมนำมามันคือ Eco Sticker
ซึ่งดูได้จาก https://tyre.go.th/

Eco Sticker คือ อะไร
ผมใส่ลิ้งค์ ที่คำว่า Eco Sticker ให้แล้วนะครับ แต่ขอพิมพ์ในโพส เผื่อทางเว็ปไซต์ tyre.go.th เค้าเปลี่ยนภาพที่บอกว่า Eco Sticker คืออะไรไป จะได้มีอ่านครับ ซึ่ง Eco Sticke จะบอกถึง ยี้ห้อ รุ่น ขนาดและที่เรา จะใช้เปรียบเทียบมีอยู่ 3 ค่า คือ
1. ค่าความต้านทานการหมุน  (ยิ่งน้อยยิ่งดี)
2. ค่าการยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก (ยิ่งมากยิ่งดี)
3 ค่าระดับเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน (ยิ่งน้อยยิ่งดี)

แต่ใช่ว่าจะนำค่าดังกล่าวมาเปรียบเทียบแล้วมันจะเป็นไปตามที่คิดนะครับ เพราะผมเจอกับตัวเองคือผมใช้ยางยี้ห้อหนึ่งระดับเสียงพอกันกับที่ใช้อยู่ขณะที่เขียนโพสนี้ แต่เมื่อพ้น 10,000 กิโลเมตร ไปแล้ว มันดังมากวิ่งบนทางด่วนนี้คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ดังนั้น ยังมีตัวแปรอื่นที่มีผลต่อการใช้งานอีก

จะติดตั้งแก๊สในรถยนต์ดีหรือเปล่า????

แก๊ส LPG คืออะไร

หัวข้อนี้(ด้านบน)ผมหาลิ้งค์แนบไว้แล้วกดเข้าไปอ่านได้ครับผมจะได้ไม่ต้องพิมพ์ซ้ำว่ามันคืออะไร และถ้าจะติดตั้งมีส่วนประกอบอะไรบ้าง 
ผมติดตั้งแก๊ส LPG ในสวิฟคันที่ผมใช้อยู่ตอนกลางปี 2016 ซื้อมาสักพักผมก็หาร้านติดแก๊สเลย เพราะคันเก่าผม Syndy ฺB11 ก็ติด LPG เพราะเชื่อว่าจะประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ และจากการที่ใช้ 2 ระบบเชื้อเพลิง ผมชอบนะครับเพราะมีเชื้อเพลิง 2 ถัง เมื่อแก๊ส LPG หมด ผมยังสามารถเดินทางไปต่อได้โดยใช้น้ำมันเบนซิน และราคาค่าเชื้อเพลิงยังไง LPG ก็ยังถูกว่าครึ่ง ยิ่งถ้าน้ำมันเบนซินแพงยิ่งเห็นผมต่างถ้าจูนดี ๆ วิ่งดีกว่าน้ำมันเบนซินอีกนะครับ ที่กล่าวมาคือข้อดีครับ

ข้อเสีย

  • คุณต้องจ่ายค่าติดตั้งระบบแก๊ส LPG
  • ต้องดูแลระบบแก๊ส LPG เพิ่มเติมนั้นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย
  • ถ้าดูแลไม่ดีก็จะเป็นข้ออ้างได้ว่าติดแก๊ส LPG แล้วทำให้รถพังครับ
  • ต้องศึกษาข้อมูลในเรื่องการดูแลรถเพิ่มเติม
  • ต้องแจ้งขนส่งเพื่อให้ลงเล่มว่าใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบ 
  • ค่าตรวจสอบแก๊ส
ข้อเสียดูเหมือนจะเยอะแต่ถ้าใช้แล้วศึกษาให้ดี ๆ ผมว่ายังไงก็ติดใจครับ
เข้าเรื่อมที่หัวข้อจะติดแก๊สดีหรือเปล่า
ตอบแบบกำปั้นทุบดิน หรือ กวน.... ก็คือแล้วแต่คุณเลยครับถ้าหากศึกษาข้อมูลแล้วเห็นว่าชอบก็ติดตั้งใช้งานครับ ผมได้เพียงได้แค่แนะนำคือถ้าใช้รถน้อย แค่วิ่งไปทำงานเช้าไปเย็นกลับวันละไม่กี่สิบกิโลเมตร ก็อย่าติดเลยเพราะมันไม่คุ้มแค่ค่าติดตั้งกว่าจะคืนทุนมันก็นาน แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้รถเยอะ ๆ วันละเป็นร้อยกิโลเมตร หรือ สองร้อยกิโลเมตร อันนี้ก็น่าติดตั้งใช้ครับเพราะถ้าคืนทุนเร็ว ก็จะเห็นถึงความประหยัดเงินในกระเป๋า แต่คุณต้องไม่ลืมเรื่องการดูแลบำรุงรักษารถด้วยนะครับ ผมขอแนะนำให้ได้ดังนี้

สิ่งที่ควรจะต้องดูแลคือ

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่าให้เกินกำหนด เร็วกว่าหน่อยก็จะดี
  • เปลี่ยนกรองแก๊สทุก ๆ 20,000โล
  • พยายามเติมปั้มเดิมเพื่อให้ทราบได้ว่าปั้มนั้นแก๊สสะอาดแค่ไหน เราจะทราบได้ตอนเปลี่ยนกรองแก๊สครับ
  • ตรวจสอบท่อยางแก๊สและท่อน้ำเข้าหม้อต้มทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเครื่องหากพบว่าแตกรายงาก็รีบเปลี่ยนครับ
  • โซลินอยวาล์วถ้าไหม้(มีสีที่เปลี่ยนไปมาก) ก็เปลี่ยนครับ
  • ที่สำคัญคือเข้าตรวจสอบระยะวาล์วทุก ๆ 80,000 กิโลเมตร ถ้ามีค่าต่างไปจากมาตรฐานก็ให้ช่างปรับตั้งเลยอย่ารอ อย่าดึงดันเดี่ยวก่อน เพราะจะทำให้สึกหรอเร็วขึ้น
ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่ต้องดูแลเพิ่มเติมได้ไม่อยากนักและเข้าเงื่อนไขใช้รถเยอะ ก็ลองใช้ LPG ดูครับ แต่ปัญหาก่อนจะติดตั้งคือ จะติดที่ไหนนี้แหละครับเรื่องใหญ่ เพราะร้านเล็ก ๆ ก็ติดตั้งให้ได้อาจจะได้มาตรฐานหรือเปล่าก็อีกเรื่อง แต่ร้านใหญ่ ๆ ก็มาพร้อมกับราคาที่สูงตามถึงต้องนี้ผมทำได้เพียงเท่านี้ครับสำหรับคำแนะนำที่เป็นสาธารณะ บางอย่างเขียนลงไปไม่ได้ครับ คนใช้แก๊สมักจะช่วย ๆ กันครับลองสอบถามดูครับ รู้จริง ไม่รู้จริง เราต้องเป็นคนตัดสินใจเชื่อไม่เชื่อครับ ทุกอย่างมากับประสบการณ์จะดีหรือร้าย อนาคตครับ บอกอยาก จ่ายแพง ๆ แล้วจะจบก็ไม่เสมอไปครับ

ใครอ่านจบแล้วเห็นตรงนี้ผมฝากกดติดตามร้านผมหน่อยครับ ถ้าอุดหนุนได้จะขอบคุณมาก 
https://www.facebook.com/family.rraayy?mibextid=ZbWKwL

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2567

แรงบิดในการขันน็อตที่เราจะ service Swift

การ Service รถสวิฟที่เรารัก

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่นำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถแล้วก็ให้ช่างดำเนินการดูแลรถเราให้เรียบร้อย ถ้าเข้าศูนย์บริการของซูซูกิ ผมคิดว่าอาจจะไม่มีปัญหาเพราะเค้าจะมีการอบรมและให้ความรู้กันอยู่แล้ว แต่อย่างร้านหรือศูนย์บริการครบวงจร เช่น B?????, C??????, F????? เป็นต้น ช่างแต่ละที่ไม่สามารถจำข้อมูลของแต่ละคันได้ครับว่าต้องใช้แรงบิดในการขันน็อตต่าง ๆ ได้

         จากการที่ผมเข้าใช้บริการที่ศูนย์ซูซูกิแต่ละสาขา ผมจึงขอคุยกับช่างและได้ทราบว่าแรงขันในแต่ละจุดที่เราสามารถ Service รถตัวเองได้ใช้แรงขันเท่าไหร่บ้างซึ่งส่วนใหญ่เราก็จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ สลับยาง ทำความสะอาดเบรค ดังนั้นค่าแรงขันของสวิฟจึงมีดังนี้ครับ
         รถผมคือสวิฟ 1.2 ปี 2012 หากเป็นรุ่นอื่นอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยนะครับ
  • น็อตถ่ายน้ำมันเครื่อง ใช้แรงขันที่ 35 Nm. 
  • ใส้กรองน้ำมันเครื่อง ใช้แรงขันที่ 14 Nm.
  • น็อตถ่ายน้ำมันเกียร์ ใช้แรงขันที่ 34 Nm. (เกียร์ธรรมดา 21 Nm.)
  • สลักเบรคหน้า ใช้แรงขันที่ 26 Nm.
  • น็อตล้อ ใช้แรงขันที่ 85 Nm.
ซึ่งจากที่ให้ข้อมูลไว้จะสังเกตเห็นได้ว่า น็อตล้อใช้แรงขันเพียง 85 แต่ถ้าเข้าใช้บริการตามศูนย์บริการครบวงจรต้องเจอกับแรงขันที่ 100 Nm. ขึ้นไปแน่ ๆ ครับ เพราะรถเก๋งของซูซูกิอย่าง Claz ก็ใช้แรงขัน 100 Nm. ร้านเปลี่ยนยางที่ผมใช้บริการเค้าจะขันให้ที่ 120 Nm. ครับ แต่ถ้าเราบอกเค้า ๆ ก็ปรับแรงขันให้เราได้ครับ แต่ไม่รับรองว่าจะเจออะไรเปล่านะครับ

การดูแลรถ swift ที่ผ่านมา

          จากที่ได้ซื้อรถ swift คันนี้มา น่าจะมือสามได้มั่ง ประมาณเดือน เม.ย. หรือไม่ก็ พ.ค 2016 ซึ่งรถจดทะเบียนปี 2012 เท่ากับว่าผ่านมาแล้ว 4 ปี เลขกิโลประมาณ 60,000 ซึ่งถือว่าใช้น้อยแต่รถทำสีใหม่มาเป็นสีส้มที่สวยยยยยยมาก

เข้าเรื่องกันเลยแล้วกันครับ
สำหรับ swift 1.2 คันนี้ผมจะพูดเป็นแต่ละจุดไปแล้วกันนะครับ

น้ำมันเครื่อง
ผมใช้ของ ptt 0w-20 เกือบมาตลอด ตอนแรก ๆ จะมีกึ่งสังเคราะห์ น่าจะปี-สองปี หลังจากนั้นก็ใช้  ptt 0w-20 มาโดยตลอดครับ เปลี่ยนทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร
ส่วนใหญ่จะไม่เกิน เปลี่ยนก่อนซะมากกว่า ซื้อจากที่ใช้มาเป็นเวลา 7ปี เครื่องยนต์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติครับ

กรองน้ำมันเครื่อง
ผมใช้ของศูนย์ซูซูกิมาโดยตลอด ไม่อยากเสี่ยงกับของเทียบ เพราะราคาไม่ต่างกันมาก ถือว่ายอมจ่ายเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงครับ และเปลี่ยนทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเครื่องครับ

กรองอากาศ
ผมใช้ของศูนย์มาโดยตลอดอ ซึ่งผมยอมรับราคาได้เพราะตั้งแต่ปี 2016มานั้นราค่าประมาณ 230 ราคาก่อน vat แต่เมื่อปี2013ได้มีการปรับราคาขึ้นมาเป็น390 ผมว่าปรับราคาขึ้นมากกกกกก เลยครับ กี่เม่าคิดเอาเองแล้วกันครับ กรองอากาศผมเปลี่ยนทุก10,000แต่ดูด้วยว่าถ้ายังไม่ดำมาก ก็พอยืดไปได้
แต่ตอนนี้ผมซื้อของเทียบใช้แล้วราคาร้อยนิด ๆ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร แต่ถ้าสกปรกไม่มากก็ยืดไปได้นิดหน่อยไม่ให้ถึง10,000 ครับ

กรองแอร์
ผมใช้ของเทียบมาโดยตลอด เพราะของเทียบผมคิดว่าไม่ค่อยต่างจากของศูนย์เท่าไหร่แค่ต้องลองซื้อมาใช้แต่ละยี่ห้อ ซึ่งของศูนย์ราคาตอนนั้นคือ550ของเทียบร้อยกว่าบาท สองร้อยกว่าบาท ที่ผ่านมา ผมใช้ประมาณสองร้อยกว่าบาท ผมดูแลแบบนี้ครับ ถ้าผมดูดฝุ่นล้างรถ ผมก็จะเอามาทำความสะอาด ดูทุกครั้งว่ามันสกปรกก็จะเปลี่ยน เรื่องนี้ไม่ตายตัวเพราะแถวบ้านผมฝุ่นเยอะ

น้ำมันเกียร์
ผมใช้ของศูนย์ซูซูกิ เพราะเชื่อมั่นว่าของศูนย์ย่อมผ่านมาตรฐาน และราคาเกียร์มันสูงและถ้าดูแลไม่ดี มันจ่ายเยอะ เลยเลือกที่จะดูและป้องกันดีกว่าเสียแล้วซ่อมครับ สำหรับการเปลี่ยนถ่าย ผมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 20,000 กิโลเมตร ผมแนะนำให้ใช้วิธีการแบบดูด ซึ่งที่ศูนย์ไม่มีให้บริการ จึงต้องหาร้านข้างนอก แบรนด์ดัง ๆ ได้หมดหรือร้าน/อู่ที่มีเครื่องดูดก็ได้ เพราะถ้าถอดน็อตที่อ่างน้ำมันเกียร์มันจะได้ประมาณ 2 ลิตร แต่ถ้าใช้วิธีการดูด จะได้มากกว่า 2 ลิตร เท่ากลับว่าเรานำน้ำมันเกียร์ออกมาได้มากขึ้นผมจึงเลือกใช้วิธีดูด
ส่วนการเปิดอ่างน้ำมันเกียร์ผมจะทำทุก ๆ 80,000 กิโลเมตร เท่ากับถ่ายน้ำมันเกียร์ออก 4 รอบ แล้วค่อยเปิดอ่างล้างเศษผงคลัช และเศษโลหะจากการสึกหรอครับ รอบแรกที่เปิดอ่างก็จะมีเศษโลหะเยอะอยู่ ดังนั้นผมแนะนำคือถ้าถ่ายน้ำมันเกียร์ 2 รอบจากที่ได้ใช้รถครั้งแรก เปิดอ่างเลยก็จะดีครับ

น้ำยาหม้อน้ำ
ผมใช้ของศูนย์ซูซูกิ เปลี่ยนทุก 40,000 กิโลเมตร อย่าใช้น้ำเปล่าเติมครับ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ใช้น้ำดื่ม หรือถ้าเตรียมได้ก็ใช้น้ำกรองที่ผ่านกรอง ro เท่านั้นจะได้ไม่มีอะไรเจือปน แต่สุดท้ายก็ควรถ่ายทิ้งถ้าเติมเยอะนะครับแล้วใสน้ำยาหม้อน้ำตามเดิม

หัวเทียน
ผมใช้ของศูนย์ซูซูกิเหมือนเดิม ราคาไม่ต่างกันมากนักกับข้างนอก มันใจได้ว่าไม่โดนของปลอมครับ เปลี่ยนทุก 40,000กิโลเมตร

แบตเตอรี่
ควรเติมน้ำกลั่นทุก ๆ 3-4เดือนครับ เรื่องว่าจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ ผมจะเปลี่ยนเมื่อตรวจสอบค่า cca ต่ำกว่า180
หรือ 150มันก็จะเสี่ยง ๆ ไปหน่อย เพราะค่าcca ที่จะสตาร์ทรถได้คือ 1,200x0.13= 156 cca หรือคุณจะรอให้ออกอาการคือเวลาสตาร์ทแล้วมันลากยาวกว่าปกติ ก็เตรียมตัวเปลี่ยนก็ได้ครับ

น้ำมันเบรค
ผมใช้ของศูนย์ซูซูกิตามเคย เปลี่ยนทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร



         จากที่กล่าวมาข้างต้นคือการดูแลโดยทั่วไป ส่วนอะไหล่อื่น ๆ ที่ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นอะไหล่ที่มีอายุการใช้งานที่นาน แต่ก็ควรต้องรู้ว่าถึงเวลาต้องดูและ หรือรถเราก็จะแจ้งเตือนว่าใกล้เสีย ใกล้ที่ต้องเปลี่ยนต้องแก้ไข ซึ่งทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ควรตรวจสอบเราจะได้ทราบว่ามันมีอาการอะไรตรงไหนแค่ไหน ไกล้ที่ควรต้องเปลี่ยนหรือยัง ถ้าเปลี่ยนแล้วก็เลิกดูไปได้นานเลยเพราะมันไม่ได้เสีย บ่อย ๆ

ระบบแอร์
ผมก็จะล้างแผงแอร์หน้ารถทุกครั้งที่ล้างรถ ก็จะช่วยให้ระบบแอร์ทำงานได้ดีขึ้น ถ้าระบบแอร์มีการรั่วภายในห้องโดยสารจะได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ อายุการใช้งานผ่านมา4-5ปี ต้องสังเกตดูครับ ส่วนใหญ่จะรั่วที่ตู้แอร์ คำแนะนำคือ ต้องแก้ไขด่วน เพราะมิฉะนั้นจะส่งผลให้คอมแอร์ทำงานหนักซึ่งถ้ายังไม่สามารถซ่อมได้จะเติมน้ำยาแอร์ไปก่อน ก็ต้องเติมน้ำมันคอมเพรสเซอร์ ไปด้วยสักเล็กน้อย แต่ถ้าจะเปลี่ยนชิ้นส่วนที่รั่ว ก็ให้ช่างถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์เลย เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่าน้ำมันมีมากน้อยเพียงใด 
อะไหล่อีกชิ้นส่วนระบบแอร์ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ7-8ปี แต่ของผม 10ปีที่เปลี่ยน คือหน้าคลัชแอร์ ระยะกิโลคือ314000 กิโลเมตร แต่อย่ายึดเวลาและระยะทางเพราะมันแปลเปลี่ยนไปตามรูปแบบการใช้งานวิ่งทางไกล ยาว ๆ อายุมันก็จะนาน กว่าวิ่งรถติด ๆ ในเมืองครับ

โช็คอัพ
โช๊คหน้าผมใช้ได้แค่ 4 ปี ของศูนย์ซูซูกิครับ โช๊คหลัง จริง ๆ มันก็ยังไม่เสียนะครับ แต่เปลี่ยนตอน10ปี
ล่าสุดโช๊คเดิม ผมเอาไปซ่อมใช้มาได้ ปีนิด ๆ แล้ว เหตุผลที่ซ่อมคือลองดูเห็นว่ามีประกันเลยซ่อม ดีนะที่ต้องเข้าซ่อมประกัน 1ปี ผ่านไป 6เดือน รั่วโชคดีที่เค้ายังแก้ไขให้เลยไม่เสียเงิน ถ้าหาร้านที่รับประกันได้ก็น่าลองครับแต่อายุในการรับประกันถ้าแค่6เดือน ก็ไม่น่าลอง ซื้อของใหม่ดีกว่าครับ ผมแนะนำแบบนี้แล้วกัน

พัดลมหม้อน้ำ
ตั้งแต่ได้รถมาสามารถใช้ได้ 10ปี ระยะทาง 328310 กิโลเมตร แต่คุณอาจจะใช้ได้มากหรือน้อยกว่าผมได้ เนื่องจากการลักษณะการใช้งานแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ผมจะใช้วันละร้อยกิโลนิด ๆ วิ่งทางยาว ๆ บางวันก็เข้าพื้นที่ที่มีการจราจรติดบ้าง ดังนั้นผมแนะนำว่าทุก 250,000 หรือไม่ก็ 200,000 ตรวจเช็คแปรงถ่านได้ครับ สามารถเปลี่ยนแปรงถ่านแล้วใช้งานต่อได้แกนมอเตอร์ผมเห็นว่ามันสึกไม่เยอะครับ 

วาล์วน้ำ
เนื่องจากผมเข้าศูนย์เพื่อนเปลี่ยนมอเตอร์พัดลมหม้อน้ำ จึงได้คุยกับช่างถึงอะไหล่ชิ้นส่วนอื่น ๆ ช่วงนี้มี swift เข้ามาซ่อมบ้าง ผมจึงได้ทราบว่ามีเรื่องวาล์วน้ำ ผมจึงให้ช่างตรวจสอบด้วย จึงทราบว่าวาล์วน้ำผมเปิดตายไม่สามารถปิดเมื่อน้ำเย็นลง ผมจึงแนะนำให้ตรวจสอบทุก 200,000 กิโลเมตร ครับแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขใช้ย้ำยาหม้อน้ำตลอดครับ ถ้าไม่ใช้น้ำยาหม้อน้ำ ก็คงต้องลดระยะทางลงถ้าจะตรวจสอบอะไหล่ชิ้นนี้

ไดร์ชาร์จ
ผมเสียตอนระยะทาง 339700 กิโลเมตร เวลาประมาณ10ปี ครึ่งได้ ผมโชคดีที่ขับ ๆ อยู่ไฟแบตแสดงขึ้นมาผมก็ประคองรถไปเรื่อย ๆ จนดับที่หน้า โรงพยาบาลศิริราช จึงโทรหาร้านแบตเพื่อให้นำแบตมาเปลี่ยน และให้ตรวจสอบว่าเป็นที่ไดชาร์จหรือเปล่า สรุปเป็นที่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตก่อนเวลาอันควร และหาที่จอดรถทิ้งไว้ แล้วอีกวันผมก็ขับไปที่ศูนย์ซูซูกิแยกไฟฉาย เพื่อตรวจสอบและคิดว่าจะเปลี่ยนไดชาร์จที่ศูนย์เลย แต่พอไปถึงไม่มีอะไหล่ต้องสั่ง ผมเลยค้นหาร้านซ่อมแล้วจึงขับไปซ่อมไดชาร์จครับ ดังนั้นผมแนะนำให้เปลี่ยนตอน 300,000 กิโลเมตร หรือจะตรวจสอบ\ซ่อมแซม\เปลี่ยนก่อนก็ตามสะดวกครับ

โบวเวอร์
พัดลมแอรในห้องโดยสารผมเสียตอน 10 ปีครึ่ง ระยะทางที่ 337172 กิโลเมตร โดยมีอาการคือลมแอร์หายไปเพราะพัดลมไม่ทำงาน ลองเอาเท้าแตะ ๆ มันก็ทำงานทำแบบนี้ได้ 2-3 ครั้งครับ แต่ถ้ามีอาการแบบนี้รีบเปลี่ยนได้เลยครับ

ท่อน้ำและฝาครอบวาล์วน้ำ
ผมเปลี่ยนตอน 380,281 กิโลเมตร ตอนเห็นสภาพคือมันจะเกิดสนิม ตรงคอท่อที่ส่วมท่อยาง แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันเป็นหินปูนหรืออะไรสักอย่างแต่ก็เป็นสนิมด้วยไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ผมทำการกำจัดมันออก ทำให้เห็นได้ว่าท่อมันไม่ได้ผุอะไรเลย จริง ๆ ผมว่ายังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนะครับ ถ้าใช้น้ำยาหม้อน้ำตลอด ราคาแพงเอาเรื่องอยุ่ ฝาครอบวาล์ว 1500  ท่อน้ำอีกสองท่อ1000

คู่มือการใช้รถ Suzuki Swift 1.2

 รถคันแรกของผมเป็นรถเก่าทำให้ไม่มีคู่มือผู้ใช้รถให้อ่าน ทำให้ตอนที่ผมซื้อรถใหม่ผมจึงหาไฟล์ PDF เพื่อเก็บไว้อ่าน ผมว่ากรณีที่ซื้อรถมือสองมาหลายคนคงอยากอ่านบางคนก็หาเองได้ บางครั้งก็หาอ่านไม่ได้

ผมจึงเก็บเผื่อไว้ท่านใดที่ต้องการอ่านจะได้มีให้อ่านครับ ผมเป็นคนใช้รถและดูแลเองจึงเห็นถึงความสำคัญ
กดอ่านได้ครับ