ในความคิดของผม ซึ่งผมใช้ swift 1.2 ตัวแรก ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่เพราะบางคนก็จะบอกว่ามันก็มีมาตรวัดความร้อนอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าเราก็ไม่สามารถดูมันได้ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรมาเตือนเราว่าความร้อนผิดปกติก็จะดีกว่า แต่..... มันยังช่วยให้เรารู้ถึงความผิดปกติของวาล์วน้ำได้ด้วย เพราะปกติ ความร้อนจะขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วงนั้น ๆ เช่น ลงต่ำสุดที่ 85 สูงสุดที่ 90 หรือไม่ก็ 88 ถึง 90 และที่ผ่านมาตอนวาล์วน้ำมันตายความร้อนจะขึ้นสูงที่ 93 แต่ต่ำสุดก็ประมาณ 89 ซึ่งช่วงมันจะขยับขึ้น ทำให้ต้องดูเรื่องระบบน้ำว่ามีอะไรผิดปกติฝาหม้อน้ำหรือวาล์วน้ำมีปัญหาเปล่า
และในเรื่องความร้อนของน้ำยาหม้อน้ำ เราสามารถตั้งเตือนให้ส่งเสียงได้ที่องศาที่เราต้องการ แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่ารถเราพัดลมหม้อน้ำจะทำงานที่กี่องศา ตอนไม่เปิดแอร์นะครับ สำหรับ swift ที่ผมใช้ประมาณ 97 องศาเริ่มทำงานแล้วหยุดทำงานเมื่อน้ำเริ่มอุณหภูมิลดลงมาที่ 93 องศา ดังนั้นเราสามารถตั้งได้ 2 แบบ ตือ แบบตอนเปิดแอร์ หรือแบบตอนไม่เปิดแอร์
หมายความว่าถ้าเราตั้ง แบบตอนเปิดแอร์ ก็คือ ตั้งให้เตือนที่ 92-93 องศา หมายความเราจะทราบได้ว่า มีความผิดปกติตั้งแต่เนิน ๆ อาจจะเป็นที่ระบบวาล์วน้ำ, ฝาหม้อน้ำ หรือระบบแอร์ ก็เป็นได้ แบบนี้ก็จะช่วยได้แต่เนิน ๆ แต่จะไม่เหมาะสำหรับเดินทางแบบขึ้นเขา เพราะมันจะเตือนเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะกล่าวให้ฟังต่อใปนี้ครับ
หมายความว่าถ้าเราตั้ง แบบตอนเปิดแอร์ ก็คือ ตั้งให้เตือนที่ 92-93 องศา หมายความเราจะทราบได้ว่า มีความผิดปกติตั้งแต่เนิน ๆ อาจจะเป็นที่ระบบวาล์วน้ำ, ฝาหม้อน้ำ หรือระบบแอร์ ก็เป็นได้ แบบนี้ก็จะช่วยได้แต่เนิน ๆ แต่จะไม่เหมาะสำหรับเดินทางแบบขึ้นเขา เพราะมันจะเตือนเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะกล่าวให้ฟังต่อใปนี้ครับ
การตั้งค่าแบบตอนไม่เปิดแอร์ ในที่นี้หมายความถึงว่า พัดลมสเต็ปที่ 2 ครับ สเต็ปแรกจะทำตอนคอมแอร์สั่งให้ทำงาน ส่วนสเต็ปที่ 2 เมื่อความร้อนถึงจุดสูงสุดที่เครื่องยนต์จะรับได้ เพราะถ้ามากไปกว่านี้อาจจะส่งผลเสียหายได้ ในการตั้งค่าแบบนี้ผมแนะนำให้ตั้งที่ 96 องศา เพราะเวลาเราขับขึ้นทางลาดชันนาน ๆ จะทำให้ความร้อนขึ้นสูง เนื่องจากใช้รอบเครื่องสูง แต่ลมประทะกับแผงระบายความร้อนน้อยเกินกว่าที่จะลดอุณหภูมิลงได้ ซึ่งถ้าไม่มี obd2 เราก็จะไม่ทราบได้เลยว่ามันขึ้นไปมากน้อยแค่ไหนถ้าจะดูเข็มบางทีมันก็ไม่ทัน แต่ถ้าเรามีแล้วตั้งเตือนตามที่ผมแนะนำ ทำให้เรารู้ได้ว่าเราต้องมองความร้อนตลอดเลยตอนนี้ เพราะมันจะยังคงร้องเสียงดังจนลำคาญ เท่ากับว่าให้เราจอดพักสักหน่อยไม่ต้องดับเครื่องก็ได้ครับ แค่เปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อให้ลมระบายความร้อนหม้อนน้ำได้ดียิ่งขึ้นพอความร้อนกลับมาสู่สภาวะปกติแล้วค่อยไปต่อเพียงเท่านี้ เราก็ใช้รถได้อย่างปลอดภัย
ประโยชน์อีกอย่าง ตั้งเตือนความเร็วเกินที่เรากำหนดได้ ในส่วนนี้หลายคนอาจจะไม่จำเป็น แต่ถ้าใครที่ไม่อยากโดนใบสั่ง ก็ช่วยได้ แต่ก็แลกมากับความรำคาญ เพราะเราเลือกได้เพียงความเร็วเดียวที่จะให้แจ้งเตือน ถ้าวิ่งบนทางด่วน และใน กทม. เท่านั้นก็ไม่ยาก ตั้งไว้ที่ 115 หรือไม่ก็ 120 แต่ถ้าวิ่งต่างจังหวัด ไม่ได้แล้วลำบากต้องตัดสินใจว่าจะตั้งไว้ที่ความเร็วเท่าไหร่เพราะมีกล้องจับทั้ง 90 ไม่ก็ 120 แบบนี้ก็ตัดสินใจกันเอาเองแล้วกันครับ
และสุดท้ายที่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ คือ แจ้งเตือนแรงดันไฟฟ้าต่ำ ปกติแบตเตอรี่จะมีแรงดันไฟฟ้าที่ 12.6V เราไม่ได้ต้องการวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตครับ แต่เราต้องการรู้ถึงแรงดันไฟฟ้าที่เจเนอเรเตอร์ หรือไดชาร์ทถ้าสังเกตพอเราสตาร์ทรถแล้วดูแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้จะเห็นว่า 14.2 +- 0.2 เอาเป็นว่า 14.2 แล้วกันนะครับถ้ามันเกิน 14.5ไปเมื่อไหร่ มีความผิดปกติแล้วครับ แล้วพอมันชาร์ทไปได้สักพักจะลดลงมา 13.5 +- นิดหน่อย แรงดันที่ 13.5 นี้เพียงพอกับเครื่องยนต์และระบบไฟในรถยนต์ ถ้าถอดแบตเตอรี่ออกรถก็ยังคงวิ่งต่อไปได้แต่ถ้าเราเร่งเครื่อง แรงดันมันก็จะลดลงแต่แค่ไหนแต่ละคันไม่เท่ากันต้องลองสังเกต (ผมจำไม่ได้เลยขอไม่เขียนไว้แล้วกัน) ซึ่งถ้ารถใหม่ ๆ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถ้าใช้ไป 2XX,XX กิโลเมตรแล้ว ต้องเริ่มสังเกตก็ดีเพราะเจเนอเรเตอร์อาจจะไกล้มีปัญหาแล้ว
ส่วนนี้เสริมให้นิดหน่อยสำหรับประโยชน์สำหรับรถติดแก๊ส เพราะผมก็ติดแก๊ส เลยเอามาใช้ดูค่า ST LT ว่าจูนแก๊สหนาหรือบ้างครับ ถ้าจะให้สังเกต เราไม่ใช่ช่างทักษะและประสบการณ์น้อยดูยาก มีค่าตัวเลขบอกแบบนี้ก็จะง่ายหน่อยในการจูนแก๊สครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น